เทศน์พระ

หาดี

๘ ต.ค. ๒๕๕๗

 

หาดี
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๗
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ เราตั้งใจฟังธรรม เห็นไหม ตั้งแต่วันบวช วันเข้าพรรษา วันเข้าพรรษาต่างคนต่างตั้งใจว่า ๑ พรรษานี้เราจะเร่งความเพียรของเรา ถ้าเร่งความเพียร เห็นไหม เราพระธุดงค์กรรมฐาน ออกพรรษาแล้วออกวิเวก ออกวิเวกเพื่อความสงบระงับของใจ ออกวิเวกเพื่อค้นหาสัจธรรม ออกวิเวกเพื่อค้นหาความจริง ถ้าออกวิเวกนะ

แต่ถ้าพูดถึงบวชตามประเพณี เห็นไหม นี่เราบวชมาแล้ว ๑ พรรษา เวลาเข้าพรรษานี่กว่าจะบวชได้ เห็นไหม นี่ละล้าละลังๆ ถ้าบวชวัดบ้านก็ได้ฉัน ๒ มื้อ บวชวัดป่าก็ได้ฉันมื้อเดียว นี่บวชแล้วจะเอาตัวรอดได้หรือไม่ได้ พรรษานี้จะเอาตัวรอดได้หรือไม่ได้ วิตกกังวลไปหมด แต่นี้ก่อนวันเข้าพรรษา เห็นไหม ก่อนเข้าพรรษามันเหมือนเด็กเกิดใหม่ เด็กเกิดใหม่ เห็นไหม เขาก็ต้องดูแลรักษา แต่ผู้ที่เห็นภัยในวัฏสงสาร ผู้ที่บวชมาเพื่อความพ้นทุกข์

ชีวิตของเรานี่เราได้บวชมาแล้ว เราได้ออกวิเวก เราได้เผชิญกับสัจจะความจริงทางโลกเราก็ได้เผชิญมา เพราะคนจะบวชพระนี่ต้องอายุ ๒๐ อายุ นี่อายุ ๒๐ ปีเราก็มีวุฒิภาวะพออยู่แล้ว แล้วเรายังมีการศึกษา เราจบการศึกษาแล้วเราค่อยมาบวช เห็นไหม เวลาบวชชีวิตเราเกิดมานี่เราติดอยู่กับโลก อยู่กับโลกเราก็ใช้ชีวิตแบบโลกไง เราก็ศึกษาธรรมะด้วยแนวทางของโลก ก็ว่าธรรมะนี่มันเป็นสิ่งที่สัจธรรม

สัจธรรม เห็นไหม ผู้ที่เป็นพระเป็นสงฆ์ ผู้ทรงธรรมทรงวินัยจะต้องมีความสุขๆ จะต้องมีธรรมในหัวใจ นี่แล้วเราจะไปบวช บวชเป็นพระด้วย เราเข้าไปบวชนี่เราจะทำตัวเรา เราจะประพฤติปฏิบัติได้อย่างนั้นหรือไม่ มันก็มีความวิตกกังวลไปหมด เห็นไหม เวลาเราจะบวช บวชก่อนเข้าพรรษา แล้วพอเข้าพรรษาแล้ว เราตั้งใจมาแล้ว เราบวชแล้วเราจะทำคุณงามความดีของเรา

ถ้าคุณงามความดีของเรา ๓ เดือนนี้เราจะเอาจริงเอาจังของเรา ถ้าเอาจริงเอาจังของเรา เห็นไหม ถ้าบวชมาแล้วจะต้องไม่มีอะไรเลย จะต้องประพฤติปฏิบัติ จะต้องนั่งสมาธิภาวนาด้วยความเป็นจริง แต่บวชมาแล้วนี่มันก็ไม่ได้ดั่งคาดหมาย พอบวชมาแล้วมันก็ยังมีคนทำงานอยู่ เห็นไหม ยังมีข้อวัตรอยู่ ยังต้องมีการทำงานเล็กๆ น้อยๆ คำว่าเล็กๆ น้อยๆ นะ เล็กๆ น้อยๆ แบบทางธรรมไง แต่ว่าทางโลกว่างานนี้งานที่ยิ่งใหญ่ งานนี้งานเป็นบุญกุศล เห็นไหม เราก็ต้องมีงาน มีงานเพราะอะไร เพราะคนเกิดมา คนเราเวลาบวชมาอุปัชฌาย์ให้บาตร เห็นไหม อุปัชฌาย์ให้บาตรมา ให้ผ้าไตรมา ให้ยารักษาโรคมา ให้อยู่รุกขมูล มันต้องมีปัจจัย ๔

พอบวชมาเป็นพระแล้ว พระก็มาจากคน คนก็ต้องมีที่พึ่งที่อาศัย ถ้าคนมีที่พึ่งที่อาศัยนะ เราบวชมาเป็นพระ เป็นพระนี่ของดีเขาถวายมาโดยศรัทธาไทย ศรัทธาไทยถวายมาเพื่อเป็นปัจจัยของสงฆ์ ของของสงฆ์เป็นของของสงฆ์ ของของสงฆ์ เห็นไหม เรื่องที่อยู่อาศัย เห็นไหม กุฏิ ร้าน ของใช้ของสอยเป็นที่โยมเขาถวายมาเป็นของสงฆ์ พระก็เป็นสมมุติสงฆ์ สมมุติสงฆ์รวมลงก็เป็นสงฆ์ เอาของของสงฆ์มาใช้ ของของสงฆ์มาใช้ก็ต้องดูแลรักษา

นี่ของเขาถวายมา ถวายเป็นของสงฆ์ ถวายเป็นของส่วนรวมเป็นของกลาง ของกลางเราก็มาแบ่งมาเจือจานกัน เจือจานกันด้วยความเสมอภาค ความเจือจานด้วยเก็บรักษา ด้วยประหยัดมัธยัสถ์ ใครใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ใครใช้จ่ายนี่มันเป็นช่องทางออกกิเลส กิเลสมันจะออกทางนี้ ออกทางความสะดวกสบายนี่ ออกทางว่ามันเป็นของเล็กน้อย ออกนี่ เห็นไหม

เราก็ว่าบวชแล้วต้องประพฤติปฏิบัติ ต้องนั่งสมาธิภาวนา ก็ยังมีงานเล็กๆ น้อยๆ มีงานให้ทำ งานนี้งานข้อวัตรไง งานข้อวัตรนี่งานเพื่อรักษาตัวเราเอง รักษาตัวเราเองไง ให้ถูกต้องตามธรรมวินัย ไม่เสียหายไปไง เพราะมันเอาของสงฆ์มาใช้ เอาของสงฆ์มาเราต้องซักต้องเก็บ เราไปโดยไม่ได้บอกกล่าวก็ดี ไม่ได้ทำไว้เองนี่เป็นอาบัติปาจิตตีย์ มันเป็นอาบัติ

เรามาหาความดี เราจะมาหาความอาบัติ อาบัติคือความชั่วร้าย ตั้งทุกกฎขึ้นไปนี่ความชั่วๆ คือทุกกฎ อาบัติคือความชั่วร้าย คือความทำผิด นี่เป็นความชั่วร้าย แล้วเรามาใช้มาสอยอยู่ด้วยความผิดความพลาด มันมาใช้สอยด้วยความเป็นอาบัติ มันสอยด้วยความผิดพลาด เห็นไหม ก็เราปรารถนาดี เรามาหาความดี แล้วเรามาหาความดีแล้วถ้ามันเป็นอาบัติ มันเป็นสิ่งที่ผิดพลาด มันจะดีตรงไหน มันจะดีตรงไหน

เอ้า! ก็บวชมานี่ อุตส่าห์แสวงหา มาบวชวัดปฏิบัติ วัดปฏิบัติแล้วก็ต้องนั่งสมาธิภาวนา มันก็ต้องไม่มีงานมาเป็นภาระ มันต้องไม่มีอะไรมากดถ่วงเลย นั่นเวลาคิดคิดอย่างนั้น มันไม่ใช่พลาสติก ถ้าดอกไม้พลาสติกจับไว้มันก็ไม่เฉามันก็ไม่เสียหาย ของพลาสติก เห็นไหม โลกเขาก็เป็นอย่างนั้น เป็นของสำเร็จรูป อย่างนั้นใช้ไม่มีวันจบ ไม่ได้ใช้ เอามานั่งดู ดอกไม้พลาสติกเอามาไว้นั่งดู ก็ชามพลาสติกจะไม่มีอาหาร นี่ไงปฏิบัติขึ้นมาก็ปฏิบัติพอเป็นรูปแบบ แต่จิตใจมันไม่เป็นจริง มันไม่มี เห็นไหม

นี่พูดถึงว่าถ้าคนจะเลือกว่าจะบวชกับวัดป่า ถ้าบวชแบบวัดบ้าน วัดบ้านก็มีความสุขสบาย วัดบ้านก็มีการศึกษา วัดบ้านจบแล้วนี่ก็ได้นักธรรมตรี เห็นไหม มีการศึกษา แล้วมาบวชวัดป่าไม่เห็นได้อะไรเลย บวชวัดป่าไม่เห็นได้อะไรเลย

ได้! ได้ที่ว่า เราเอาใจของเราไว้ได้หรือเปล่า ที่เขาศึกษากันนั้นเขาศึกษามาเพื่อปฏิบัติ แต่ของเราปฏิบัติ เรามาในสังคมปฏิบัติเพราะมีครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติอยู่แล้ว แต่การศึกษาๆ ก็ดูเอา ค้นคว้าเอา นักธรรมตรีศึกษาเอาด้วยตัวเองสอบก็ได้ นี่เราศึกษามาแล้วเราไม่สอบไง เราไม่สอบ เราศึกษา เราจะสอบจิตของเรา เราจะดูแลหัวใจของเรา เห็นไหม ถ้าดูแลหัวใจของเรา เราเลือกของเราแล้ว เรามาหาดี แต่คุณงามความดี คุณงามความดีของใคร เห็นไหม ก่อนเข้าพรรษาทุกคนก็ตั้งใจทั้งนั้น จะเอาคุณงามความดี ทุกคนจะขวนขวาย ทุกคนจะปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ ทุกคนจะทำให้ได้ดี

วันนี้วันออกพรรษาแล้ว ๓ เดือนผ่านไปแล้ว มาหาดี ๓ เดือนผ่านไปแล้ว ๓ เดือนผ่านไปเราทำอะไรของเราบ้าง เห็นไหม วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เธอทำอะไรอยู่ คุณงามความดีที่ดียิ่งกว่านี้ยังมีอยู่ คุณงามความดี ดีของเรา ถ้าดีของเรา เห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสวงหาประพฤติปฏิบัติอยู่ ๖ ปี นั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเป็นพระโพธิสัตว์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานั่นเป็นศาสดา เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะต้องแสวงหาอะไร เพราะท่านตรัสรู้ธรรมแล้ว ท่านได้ฆ่ากิเลสไปแล้ว ท่านมีวิมุตติสุขในหัวใจของท่านพร้อมแล้ว แล้วท่านวางธรรมวินัยเอาไว้ให้เราศึกษาให้เราปฏิบัติ ทีนี้เรามาเราศึกษา เราเกิดเวียนว่ายเราเกิดในวัฏฏะ เกิดในวัฏฏะมีกิเลสมีตัณหาความทะยานอยาก แต่เรามีอำนาจวาสนานะ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วได้มาบวชมาเรียนนี่ มาบวชมาเรียนเราตั้งใจของเรา เรามาหาดี หาคุณงามความดี

แต่จิตใจของเรานี่มันดีพอไหม ถ้าจิตใจของเรามันดีพอ จิตใจนี่มันมีวุฒิภาวะ มันพัฒนาขึ้นมา เห็นไหม มันคุณงามความดีนี่มันจะมองความดีออกไง ถ้าจิตใจของเรามองความดีไม่ออก เห็นไหม ถ้ามองความดีไม่ออก ดูโลกเขาสิ เราบวชใหม่ๆ มีคนพูดมาก “ท่านบวชแล้วนะ ท่านต้องศึกษาสมุนไพร ท่านศึกษาต้องศึกษาอย่างนั้น ศึกษาทางพรหมศาสตร์นะ เพื่อได้สงเคราะห์โลก สงเคราะห์โลก” เขาพูดกันอย่างนั้น

เราบวชใหม่ๆ นะ ยังไม่ได้พรรษาเลย เศร้าใจมากเลย นั่นมันประเพณี ความเห็นของเขา นี่ศาสนสงเคราะห์ เขาสงเคราะห์อย่างไรศาสนสงเคราะห์ แต่เราต้องสงเคราะห์ตัวเราเองก่อน เรามาหาความดี เรามีเป้าหมาย เราอยากจะพ้นจากทุกข์ ถ้าพ้นจากทุกข์มันต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา แล้วมันมีใครจะชี้ทางให้เรา ใครชี้ทางให้เรา มันแสวงหาแต่คนชี้บอกทาง คนบอกทางใครจะบอกให้ได้ที เห็นไหม เราจะแสวงหาทางนี้ เราจะออกทางนี้ เราจะไปให้ได้ นี่มันวุฒิภาวะไง

เขาพูด เขาบอกว่า “ถ้าท่านบวชแล้วนะ ท่านต้องสงเคราะห์โลกนะ ท่านช่วยสังคม” เขาพูดกันนะ เขามาสอนเราเลยล่ะ บวชใหม่ๆ

เราคิดในใจของเรา อันนั้นมันเป็นเรื่องการสงเคราะห์โลก การสงเคราะห์โลกนี่เราพร้อมแล้วเราถึงจะสงเคราะห์เขา เรายังเมตตาคนอื่น แล้วไม่เมตตาตัวเองเลยเหรอ เมตตาคนนู้น สงสารคนนู้น เห็นอกเห็นใจคนอื่นไปหมดเลย เห็นอกเห็นใจคนอื่นไปหมดก็สึกไปมีคู่ใช่ไหม ก็สึกไปดูแลเขาไง ก็เห็นอกเห็นใจเขา เขาไม่มีคนดูแล เขาเป็นทุกข์เป็นยาก เขาไม่มีคนทำมาหากิน เขาไม่มีคนเลี้ยงไง สงสารเขา สงสารเขา เดี๋ยวโยมรอก่อนนะ เดี๋ยวจะสึก สึกแล้วจะไปสงเคราะห์ จะสงสารเขาอย่างนั้นเหรอ นั่นเมตตาคนอื่น เมตตาคนอื่น ก่อนจะเมตตาเขาเรามีหลักหรือเปล่า ก่อนจะเมตตาคนอื่นเราต้องเมตตาตนเราก่อน ถ้าเราเมตตาเราได้ เราจะมีจุดยืนของเรา แล้วเราจะไม่ไปคลุกคลีอย่างนั้น คลุกคลีอย่างนั้น เห็นไหม มันเป็นความเศร้าหมอง ถ้าความเศร้าหมอง ความเศร้าหมอง ถ้ามันเป็นของเศร้าหมองๆ

ดูสิ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส ถ้ามันผ่องใสมันถึงจะเห็นของมันนะ น้ำใสเห็นตัวปลา อันนี้จิตมันเศร้าหมอง ถ้าจิตมันเศร้าหมองแล้วมันจะไปเห็นอะไร มันจะไปรู้อะไร แล้วจะหาความดีอะไร เมตตาจะเมตตาใคร ถ้าไม่เมตตาเราก่อน ถ้าจะเมตตาเราก่อน เมตตาเราเมตตาที่ไหน

ถ้าเมตตาที่ไหน เห็นไหม ดูสิ อุปัชฌาย์ให้มาแล้ว เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ หน้าที่ของเรา หน้าที่ของเราเราทำตรงนี้ ถ้าเราทำตรงนี้ได้มันเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเราทำตรงนี้ไม่ได้ เราเมตตาเราไม่ได้ เมตตาหัวใจเราไม่ได้ เพราะหัวใจของเรานี่มันไม่ได้ฝึกฝน ดูสิ นี่เห็นไหม นักกีฬาเวลาเขาแข่งขันกีฬา เขาจบกีฬาแล้วนี่เขาได้เหรียญทอง ทำไมถึงได้เหรียญทอง เขามีการแข่งขันแล้ว แข่งขันแล้วเขาคัดเลือกเข้ารอบมาเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามาแล้วนี่ เวลาเขาแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ เขาชนะแล้วเขาถึงได้เหรียญทองมา

นี่ก็เหมือนกัน จะว่าเมตตาตน เมตตาตน เราทำอะไรมา ถ้าเราทำสิ่งใดมา เราสงเคราะห์เราก่อน เราสงเคราะห์เราก่อน เราก็ต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมานี่ มันมีศีล สมาธิ ปัญญา นี้ความดีของเราความดีของเราไง ความดีของเราความดีอัตตัตถสมบัติ สมบัติในใจ ถ้าสมบัติในใจ มันคิดเป็น พิจารณาเป็น มันมีหิริมีโอตตัปปะ มันมีความเกรงกลัวมีความละอายต่อบาป มันมีความละอายนะ ถ้ามันไม่มีความละอายต่อบาป พอไม่มีความละอาย เห็นไหม นี่ที่ไม่เมตตาตน จะเมตตาคนนู้น เมตตาคนนี้ เมตตาอะไร? เมตตาอะไร?

นี่มันผลของวัฏฏะ มันผลของวัฏฏะ ทุกคนต้องเวียนว่ายตายเกิด แล้วเวียนว่ายตายเกิดในสถานะอะไร การเกิดและการดำรงอยู่และการสิ้นไปมันเป็นผลของวัฏฏะ มันเป็นเรื่องจริง เห็นไหม จริงตามสมมุติ ว่าสิ่งนี้เป็นสมมุติ การเวียนตายเป็นสมมุติ สมมุติมันเป็นวาระ หมดวาระมันก็เวียนว่ายตายเกิด นี่เป็นวาระของมัน นี่สมมุติสมมุติอย่างนี้ แต่มันจริง มันจริงตามสมมุติ

นี้ถ้าใครสร้างบุญสร้างกรรมมา เห็นไหม เวรกรรมของคน ผลของวัฏฏะคือเวรกรรมมันให้เป็นอย่างนั้น เวรกรรมคืออะไร? เวรกรรมคือทัศนคติ มันเห็นดีเห็นงามอย่างนั้น เราบอกจ้ำจี้จ้ำไชๆๆ แต่เขามีความเห็นอย่างนั้น นี่เวรกรรม นี่จริต แก้ยังไง จะเมตตาเขาจะเมตตายังไง ในเมื่อมันเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้น ธาตุมันเป็นอย่างนั้น เราจะเปลี่ยนธาตุหนึ่งให้เป็นอีกธาตุหนึ่งเราจะทำอย่างใด แต่ถ้าเราเมตตาเราก่อน เห็นไหม เราก็เป็นธาตุหนึ่งเหมือนกัน ถ้าเป็นธาตุเหมือนกันนะ เราพยายามทำของเรา เรามีศีล สมาธิ ปัญญา เราพยายามปฏิบัติของเรา

แต่คนเกิดมา เห็นไหม ดูสิ หลวงตาท่านพูดเอง “นกมันยังมีรวงมีรัง พระก็ต้องมีที่พึ่งอาศัย” ที่พึ่งอาศัยเราก็รักษา รักษาของเราพอความสมควรแก่เรา คำว่า “พอสมควร” รักษาความสะอาดเท่านั้น มันจะดีสูงส่งขนาดไหน มันจะแบบว่าต่ำต้อยขนาดไหน เห็นไหม มันจะเป็นกระต๊อบห้องหอนะ หรือว่ามันจะเป็นตึกเป็นล้านชั้น ๘๐๐ ชั้น ๙๐๐ ชั้น มันอยู่ที่การบำรุงรักษาอยู่ที่ความสะอาด กระต๊อบห้องหอเราทำให้มันสะอาดนะ ดูสิ ใครมาก็ชื่นใจทั้งนั้น ใครมาเห็นมันตกใจนะ ทำไมมันเรียบง่าย ทำไมมันสบายขนาดนั้น

เราจะมีตึกรามบ้านช่องขนาดไหน แต่ถ้าเราไม่ดูแลรักษาความสะอาด มันฝุ่นคลั่กไป ไม่มีใครเขามอง แต่ถ้าไปทำความสะอาด ความสะอาดคืออะไรล่ะ ข้อวัตร ข้อวัตร นี่ความสะอาดคือการบำรุงรักษา ถ้าเราดูแลอย่างนี้ได้ เรามาหาดีนะ ดีจากข้างนอกดีจากข้างใน ดีจากข้างนอก เห็นไหม ถ้าข้างนอกคือการฝึกหัดนะ ถ้าไม่มีข้างนอก ข้างนอกหมายความว่า ข้อวัตรปฏิบัตินี่ ถ้ามันไม่มีตัวนี้ขึ้นมาแล้วมันจะฝึกฝนใคร คนเรามานี่มันไม่รู้เหนือรู้ใต้หรอก คนไม่รู้เหนือรู้ใต้นะ ให้เขามาทำข้อวัตรนี่ทุกคนจะบอกว่า โอ้! บวชพระนะ ไม่ใช่สมัครมาเป็นเทศกิจ แหม มาทำความสะอาดมากวาด นี่ไม่ใช่เทศกิจ เทศกิจเขาทำความสะอาด เห็นไหม น้ำเสีย ร่องน้ำ ฝนตก น้ำไม่ไหล นี่พวกเทศกิจเขาทำ ไอ้นี่บวชพระมา

เทศกิจนี่อาชีพของเขา เขาสมัครเขาทำงานของเขา เป็นหน้าที่ของเขา เป็นสัมมาอาชีวะ เรานักพรตนักบวช เราไม่ใช่เทศกิจ แต่เป็นหน้าที่ของเรา เพราะเราเป็นคนอยู่คนอาศัย เราเป็นคนอยู่คนอาศัย เทศกิจนั้นหน่วยราชการเขาจ้าง เขาจ้างเป็นอาชีพของเขาเพื่อทำความสะอาด เป็นสมบัติสาธารณะบำรุงรักษา ของเรานี่มันเป็นหน้าที่ของเรา หน้าที่ของเรานี่ เห็นไหม เราไม่มีใครจ้าง แต่มันเป็นศรัทธา มันเป็นศรัทธามันเป็นความเชื่อ มันเห็นประโยชน์ มีครูบาอาจารย์เป็นคนคอยชี้นำคอยบอก เพราะว่ามันเป็นหน้าที่ของเรา ถ้าหน้าที่ของเราหน้าที่มันคืออะไรล่ะ หน้าที่มันออกมาจากใจออกมาจากเจตนา ถ้ามีเจตนา เห็นไหม เจตนาที่มันบำรุงรักษา เจตนาที่มันแก้ไข นั่นล่ะมันมีผลกับใจ

นี่ไง ข้อวัตรปฏิบัตินี้เขาไว้ฝึกหัดไง ถ้าไม่มีข้อวัตรปฏิบัติเราจะฝึกคนมาได้ยังไง เราจะฝึกหัดมันขึ้นมาได้ยังไง มันจะให้คนเข้ามานี่รู้เหนือรู้ใต้ได้ยังไง ถ้าบวชมาแล้วนี่ เห็นไหม บวชมาก็เป็นพระเหมือนกัน พระบวชมาเป็นพระเหมือนกัน แล้วพระกับพระมันจะมีใครใหญ่กว่าใคร มันไม่มีหรอก ไม่มี ไม่มีใครใหญ่กว่าใครหรอก พระเท่ากับพระ ศีล ๒๒๗ เหมือนกัน แต่ท่านมีคุณธรรม คำว่าคุณธรรมนั่นมันเกิดมาจากไหน เห็นไหม นักกีฬาเขาแข่งจบแล้วเขาได้เหรียญทอง

นี่เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาท่านได้ผลหรือเปล่า ถ้าท่านได้ผลขึ้นมาท่านจะมีความสุขในใจของท่าน คำว่าได้ผลขึ้นมานี่ นักกีฬาว่ายน้ำเขาต้องใช้กำลังของเขาไหม นักกีฬากรีฑาชนิดไหนก็แล้วแต่เขาต้องฝึกฝนทักษะของเขาไหม ทักษะแต่ละชนิดกีฬานี่เขาต้องฝึกฝนตามชนิดกีฬาประเภทนั้น

จิต! จิตถ้ามันจะฝึกหัดขึ้นมานี่ มันจะทำสมาธิขึ้นมานี่ทักษะของมัน ทักษะของคนที่ฝึกหัดสมาธิจะทำอย่างใด แล้วทักษะของคนที่ออกฝึกหัดใช้ปัญญานี่เขาต้องมีทักษะของเขา ทักษะอันนั้น ประสบการณ์อันนั้น อันนั้นสำคัญ สำคัญเพราะอะไร? เพราะสิ่งที่เขาจะพัฒนาขึ้นมา เห็นไหม เราดูอากาศสิ อากาศในปัจจุบันนี้เราดูได้เพราะอะไร เพราะวิทยาศาสตร์มันเจริญ เราเข้าใจได้หมด ว่ามันเกิดพายุอย่างใด เห็นไหม ความร้อนของน้ำทะเล ความร้อนของโลก มันสำคัญกว่าความร้อนที่อยู่บนบกนี้อีก นี่เพราะอะไร เพราะมันรวมตัวกันนี่มันเป็นพายุ

นี่ก็เหมือนกัน ทักษะๆ ที่มันเป็นประสบการณ์ของมันเป็นของมัน มันรู้ ถ้ามันรู้ขึ้นมามันถึงเห็นความจำเป็นของข้อวัตรนี้ไง เพราะว่าอะไร นี่ไง นี่พายุมันจะเกิดขึ้นมาจากอุณหภูมินะ น้ำนี่มันร้อนขึ้นหนึ่งองศาในทะเลนั่น มันจะเกิดพายุที่มันรุนแรงขนาดไหน

จิต! จิตถ้ามันมีคุณธรรมของมัน ที่มันทำของมันเป็นความเป็นจริงของมัน มันจะมีประโยชน์ขนาดไหน แล้วจิตที่มันเป็นสาธารณะ นี่ที่มันเก็บมันดูมันแลนี่เพราะอะไร? เพราะจิตมันมีเจตนา มันมีเจตนามันมีคุณธรรมของมันในใจ ถ้ามันไม่มีเจตนาไม่มีคุณธรรมในใจ เห็นไหม นี่เรามาหาดีๆ นี่ เรามาหาดีทั้งพรรษากันแล้วนะ ๓ เดือนหมดไปแล้ว

พระในสมัยพุทธกาลที่ว่าเวลาเขาธุดงค์ไป เขาเที่ยวไป ญาติพี่น้องเขาให้ผ้ามาเป็นผ้าฝ้ายหยาบๆ มาถึงแล้วนี่ เขาก็ไปจ้างช่างให้รื้อออกๆ แล้วกรอใหม่ กรอใหม่แล้วทอใหม่ๆ จนผ้านี่มีเนื้อละเอียด พอเนื้อละเอียดเสร็จแล้วนะ เห็นไหม เขาก็มาตัดเย็บกัน ตัดเย็บเสร็จตัดเย็บย้อมนะ เขาภูมิใจนะ นี่เขามาหาดีๆ นี่ แต่เขาหาดีที่ไหน เห็นไหม เขาไปวิเวกไปธุดงค์กันนี่เขาไปหาหัวใจของตัว ไปหาศีล สมาธิ ปัญญาที่มันเกิดขึ้น หาทักษะ จิตที่มันฝึกหัด เห็นไหม ฝึกซ้อม ฝึกซ้อมให้เป็น แล้วลงแข่งขัน แข่งขันกับอะไร? แข่งขันกับธรรมกับกิเลส มันแข่งในหัวใจ

ถ้าจิตใจมันเป็นธรรมๆ นี่มันจะเกิดการแข่งระหว่างกิเลสกับธรรมมันต่อสู้กัน ถ้ากิเลสมันชนะนะ โอ๊ย มันเหยียบย่ำหัวใจ นี่ทุกข์มาก คอตกเลย แต่ถ้าวันไหนธรรมมันชนะนะ โอ้โฮ มันปลอดโปร่ง มันรื่นเริง มันมีความสุข อู้ มันพอใจ อู้ ธรรมะ เห็นไหม รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง มันมีคุณธรรม นี่เขาออกไปแข่งขัน ออกไปวิเวก แต่นี่ก็ออกไปเที่ยวธุดงค์ ไปหาญาติโยม ญาติโยมก็ให้ผ้ามา ผ้าเป็นผ้าฝ้ายเก่าๆ ผ้าฝ้ายหยาบๆ ก็เอามาทอ เห็นไหม มาจ้างเขารื้อออกแล้วมาทอ ทอเสร็จแล้วก็มาตัด ตัดเย็บไง ตัดแล้วเย็บด้วยกัน เห็นไหม ตัดเย็บด้วยกัน ตัดเป็นผ้า ย้อมผ้า พรุ่งนี้จะได้ผ้าใหม่ คืนนั้นเป็นไข้ท้องเสีย ตายในคืนนั้น นี่ความผูกพัน เห็นไหม

มาหาดี มาหาดีนี่เรามาหามรรคหาผล เรามาประพฤติปฏิบัติเพื่อคุณงามความดี แต่นี่ทำไมมาหาดีกับผ้าจีวร มาหาดีกับผ้าจีวร ผ้าจีวรเป็นธงชัยของพระอรหันต์ใช่ไหม นี่ผ้ากาสาวพัสตร์ เราห่มกันอยู่นี่เราได้มา เห็นไหม บวชมานี่ถ้าบวชมีพ่อมีแม่ พ่อแม่ก็ซื้อหาบริขารมาให้ ถ้าไม่มีมาบวชมาอยู่วัด มาวัดมาวาวัดก็หาให้ นี่แล้วถ้าบวชมาแล้วๆ เราก็มาฝึกหัด เห็นไหม นี่ผ้าขาวโยมถวายมาเราก็ตัดเย็บของเราได้ ถ้าเราตัดเย็บขึ้นมานี่ เราเย็บเอง เราย้อมเอง เราฝึกหัดเอง อยากได้ประณีตเราก็ฝึกหัดเย็บด้วยจักรให้มันประณีต อยากได้สีดีๆ ขึ้นมา เราก็ฝึกหัดย้อมของเรา นี่เราทำของเราขึ้นมาเอง ถ้าเราบวชขึ้นมาแล้วนี่ เราหาได้ เราทำได้ เราอยู่ในสัปปายะ เห็นไหม หมู่คณะเป็นสัปปายะ ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ นี่เราก็แสวงหาอย่างนี้ได้

นี่ก็เหมือนกัน ของเขานี่ พระในสมัยพุทธกาลไปได้ผ้ามา ผ้ามันหยาบมารื้อออก ไปจ้างเขาทอให้เป็นผ้าละเอียด เป็นผ้าที่ดีแล้วมาตัดเย็บเป็นผ้าจีวร นี่ผ้าไตรจีวร คืนนั้น...พรุ่งนี้จะได้ห่มผ้าจีวร นี่ได้รับถ่ายผ้า ปจจุทธรามิจะได้เปลี่ยนผ้าจีวร นี่คิดถึงผ้าจีวร ตายลงคืนนั้นไปเกิดเป็นเล็นในผ้านั่น มาหาดี หาดีจากมรรคจากผล มาหาดีจากเครื่องอัฐบริขาร มาหาดีจากสิ่งนี่ จิตใจมันสูงมันต่ำมันแตกต่างกันไง

นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนาคตังสญาณ ธรรมดา เห็นไหม เวลาพระเรานี่ พระองค์ไหนเป็นพระผู้ใหญ่แล้วมีผู้ใดอุปัฏฐากอยู่ พระผู้ใหญ่องค์นั้นตายลง สิ่งที่เป็นบริขารจะตกกับพระที่อุปัฏฐากนั้น ถ้าพระองค์ใดไม่มีผู้อุปัฏฐากอยู่ เวลาพระองค์นั้นตายไปแล้วบริขารนั้นจะตกแก่ท่ามกลางสงฆ์ สงฆ์จะแจกกันว่า บุคคลคนใดควรจะได้ผ้านั้นไปใช้ เห็นไหม นี่ธรรมดาพอตายไปแล้วนี่ ผ้าใหม่ๆ พึ่งตัดเย็บเลย เขาก็ต้องตกกับผู้ใดผู้หนึ่ง ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเลย เห็นไหม ห้ามแจกนะ ผ้านี้ห้ามแจก ถ้าแจกไอ้เล็นตัวนั้น พระนั้นตายไปมาเกิดเป็นเล็น ถ้าแจกไปนี่เล็นจะเกิดความโกรธ เพราะเขาหวงของเขา ถ้ามันโกรธขึ้นมาแล้วนี่ เล็นอายุขัยของมันแค่ ๗ วัน ถ้าโกรธนะ มันตายลงมันจะตกนรกอเวจีหนักไปเรื่อยๆ

เริ่มต้นจากมาหาดี มาหาดี นี่เริ่มต้นติดตรงนั้น แล้วพอติดตรงนั้นมันก็จะต่อเนื่องกันไปนั่น แต่เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยอนาคตังสญาณ อย่าแจกผ้านั้น ให้ผ้าแขวนไว้อย่างนั้น ให้ ๗ วันก่อน นี่เล็นมันก็นอนอยู่ที่ผ้านั่น ๗ วัน ของฉันๆ เห็นไหม ผ้านี้ของฉันๆ นี่มันมีความสุข มันมีความสุขกับผ้านั้น มันไม่มีใครมาแตะไง ลองใครไปแตะสิ แล้วเอาไปแบ่งกัน นี่เราไปห่มผ้า เรารู้ไหมว่ามีเล็นมีไรอยู่ในผ้าเรา เราก็ไม่รู้หรอก เพราะไอ้พวกเรามันตาเนื้อ มันไม่ใช่ตาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอนาคตังสญาณตาทิพย์ ตาที่มอง แล้วท่านเมตตา นี่อย่าไปแจกนะ นี่แขวนไว้อย่างนั้นก่อน ให้ครบ ๗ วันก่อน เล็นมันก็มีความสุขของมัน นี่ ๗ วัน นี่ของฉันๆๆ นี่ ๗ วันมันตายไป มันตายไปด้วยบุญกุศลนะ ตายไปด้วยที่ว่าไม่มีใครไปทำให้มันโกรธ ทำให้ผูกโกรธ ให้จิตใจมันโกรธ เห็นไหม โทสะให้ตกนรกอเวจี นี่ถ้าโทสะน้ำหนักมันก็ลงใต้อยู่แล้ว แต่นี่มันแบบว่าของฉันๆ ด้วยความสุขก็ไปเกิดบนสวรรค์ นี่ทำคุณงามความดี บวชเป็นพระมานี่ สวรรค์นี่ทำคุณงามความดีเราก็หาได้ แต่นี่ไปหามาจากผ้านี่ มาหาดี มาหาดีนี่

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอนาคตังสญาณนะ ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทอดธุระล่ะ เพราะธรรมวินัยบังคับไว้แล้ว ของของนั้นมันตกแก่สงฆ์ สงฆ์นี่จะแจกกันใครก็ได้ แล้วใครก็ได้พอเอาไปคนนั้นก็เอาไปใช้ตามธรรมวินัยตามสิทธิ แล้วไอ้เล็นตัวนั้นมันก็อยู่กับผ้านั้น อายุขัยมันก็ ๗ วันอยู่แล้ว แต่ ๗ วันนะ พระองค์นั้นองค์ไหนใช้ไปมันก็อยู่ในผ้านั้น มันก็ไปต่อต้านกัน ของฉันๆ ไอ้พระก็ห่มไป ไอ้นั่นมันก็ของฉันๆ อยู่นั่น แล้วมันก็ด้วยความโกรธมันน่ะ เวลาตายไปมันก็ตกนรกอเวจี เรื่องของนามธรรม เรื่องของวัฏฏะ

นี่เรามาหาดีหาดีที่ไหนล่ะ? ถ้าหาดีอย่างนั้นมันก็ลงอย่างนั้น แต่ถ้าเรามาหาดี เห็นไหม นี่เราตั้งใจมาทำคุณงามความดีของเรา ถ้าคุณงามความดีของเรานี่ ในทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เวลาทำข้อวัตรหรือเรามีหน้าที่การงาน ถ้าเรามีสติเราใช้สติปัญญายับยั้ง สติปัญญายับยั้งจิตของเรา เห็นไหม นี่มันเป็นนามธรรมมันไม่ใช่ผ้าจีวรนะ มันเป็นนามธรรม นี่เรายับยั้งใจของเราไว้เลย ไม่ต้องว่าผ้าของฉันๆ หรอก นี่สมาธิของฉัน สติของฉัน ธรรมะของฉัน นี่ธรรมะของฉันมันก็เป็นอนัตตา มันก็ตั้งอยู่ชั่วคราว เห็นไหม เราก็ต้องตั้งสติของเรา ฝึกหัดของเราทำของเราขึ้นมาให้ได้ ถ้าทำของเราขึ้นมาให้ได้ สิ่งนี้มันจะเป็นธรรมโอสถ มันจะเป็นปัจจัตตัง มันจะเป็นสันทิฏฐิโก ผู้ที่บวชอยู่ เวลาจิตเป็นสัมมาสมาธิ จิตมันมีรากมีฐาน เห็นไหม เราก็จะทำให้มันเจริญงอกงามต่อเนื่องขึ้นไป มีเวลาเราก็จะฝึกหัดภาวนาของเราให้มันมากขึ้น ผู้ที่สึกสิกขาลาเพศไป ถ้าจิตของเขาเขาทำได้ เขาเคยบวชมา เคยได้ฝึกหัดมา เห็นไหม บวชมาในพุทธศาสนามาฝึกหัด มาเป็นบัณฑิตๆ มันรู้ที่ไหน ถ้าบัณฑิตในทางโลก บัณฑิตเรียนจบนักธรรมโท นักธรรมเอก เห็นไหม มันก็ได้การศึกษามา

แต่ถ้าเราบวชมาเป็นพระ พระปฏิบัติ เห็นไหม บวชมาใน ๑ พรรษา เราจะไม่ได้กระดาษไป ๑ ใบ กระดาษคือใบการันตีว่าฉันจบนักธรรมตรี แต่มันจะจบหรือไม่จบ มันจบด้วยการฝึกหัดการบ่มเพาะหัวใจ ถ้าหัวใจมาบ่มเพาะนะ เห็นไหม บวชอยู่ ๓ เดือน กินข้าวมื้อเดียว ๓ เดือนทำไมอยู่ได้ เวลาสึกออกไปแล้วนี่จะกินข้าว ๕ มื้อ ๑๐ มื้อ นั่นจะไปฟุ่มเฟือย จะไปหาเงินไม่พอใช้นั่น แต่ถ้าบวชมาแล้วนั่น นี่เรากินข้าวมื้อเดียว ออกไปเราก็ประหยัดมัธยัสถ์ เห็นไหม

เราไปศึกษาๆ ออกไปแล้วนี่ เราใช้ชีวิต ๓ เดือนแล้วนี่ทำไมเราใช้ชีวิตของเราได้ เวลาเราออกไปทำหน้าที่การงานแล้วนี่ ทำไมเราใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เราหาเงินหาทองมาเพื่อประโยชน์อะไร นี่มันได้ประโยชน์ทั้งนั้น นี่บัณฑิตๆ มันอยู่ที่นี่ มันเอาสิ่งที่เรามาศึกษาพุทธศาสนาให้มันมีปัญญามีความรู้ เป็นบัณฑิตไง บัณฑิตคือการศึกษา รู้จักทิศ รู้จักทิศทางของชีวิต ชีวิตจะดำเนินการต่อไปอย่างไร นี่พูดถึงว่าออกพรรษาแล้ว

แต่ผู้ที่ยังอยู่ในผ้ากาสาวพัสตร์ ห่มธงชัยพระอรหันต์ นี่แล้วจิตใจมันจะหันไหม มันจะหันไปไหน มันจะหันไปสู่จีวรให้เป็นเล็นตัวนั้นไหม หรือจะหันเข้าสู่ศีล สมาธิ ปัญญา หรือมันจะหันเข้าสู่คุณงามความดีของเรา ถ้ามันจะหันไปไหน เราหันหัวใจของเราด้วยสติปัญญาของเรา เราจะควบคุมจิตใจของเราให้เป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม เรามาหาความดี ถ้าจิตใจมันมีคุณธรรม มันจะรู้ความดีอย่างไรเป็นความดีแท้ ถ้าจิตใจไม่มีคุณธรรมมันก็อ้างว่าดี มันดี มันบอกว่าดี ดี ดี ดีของใครล่ะ มันดีของกิเลสไง ดีของตัวเราไง นี่มันดี ความลับไม่มีในโลก ใครทำคนนั้นก็รู้ทั้งนั้นล่ะ ใครทำมันก็ได้ทั้งนั้นล่ะ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว สัจธรรมนี่มันเป็นของจริง จริงๆ เลย จริงแท้ๆ เลย สัจธรรม! แต่ถ้ามันเป็นความดีของเราล่ะ ของเรามันมีลับลมคมใน

มนุษย์เป็นสัตว์ประหลาด คิดอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง แล้วก็ทำอีกอย่างหนึ่ง เห็นไหม นี่ดีตรงไหนล่ะ แต่ถ้ามันเป็นความจริงของเรา มันก็พูดได้เต็มปาก เต็มปากเต็มคำ เห็นไหม ซื่อสัตย์สุจริต ซื่อสัตย์มีคุณธรรม ถ้าซื่อ เห็นไหม ซื่อแต่เซ่อ ถ้าซื่อก็ซื่อไง เราตรงไปมาไง แต่กิเลสมันปลิ้นปล้อนอยู่ในใจ นี่มันปลิ้นปล้อน เราจะทำอย่างไร

นี่ที่เรามาบวชมาประพฤติปฏิบัติก็ตรงนี้ ตรงที่ว่าในหัวใจเรามันมีกิเลสปลิ้นปล้อนอยู่ แล้วพอมันอวิชชา อวิชชาอยู่จิตใต้สำนึก เพราะความไม่รู้ ถ้าไม่รู้อะไรคืออวิชชา ถ้ารู้แล้วคือจบ

อวิชชาคือความมืด ที่ไหนมันมืด เปิดไฟมันก็สว่าง เปิดไฟขึ้นมามันก็เห็นภาพชัด ถ้าจิตใจเรามันยังไม่เข้าใจ มันยังไม่รู้เรื่อง มันอวิชชา แต่ถ้ามันเอามาตีแผ่แล้วก็จบ เห็นไหม มันถึงต้องมีครูมีอาจารย์ไง ครูบาอาจารย์พยายามจะดึงตรงนั้นมา

หลวงปู่ขาวท่านไปเคารพหลวงปู่มั่น เวลาท่านบอกว่า นี่จะไปให้หลวงปู่มั่นช่วยอย่างนู้นช่วยอย่างนี้ เวลาเข้าไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านเลยบอกเลย “ใจตัวเองนะไม่มอง มองแต่ครูบาอาจารย์ว่าจะรู้ใจเราหรือเปล่าๆ ทำไมใจตัวเองไม่ดู ทำไมจะให้คนอื่นมาดูใจของเรา” เห็นไหม นี่ไง นี่ครูบาอาจารย์ท่านเป็นหลักชัยของเรา แล้วก็หวังจะพึ่งครูบาอาจารย์ หวังจะให้ครูบาอาจารย์ท่านคอยชี้นำ การมาชี้นำๆ อย่างไรล่ะ ชี้นำท่านชี้นำอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าวุฒิภาวะของใจเรามันสูงหรือต่ำ ถ้ามันสูงขึ้นมานี่มันเห็นไง มันเห็นมันยอมรับเหตุผล ถ้าจิตใจเรามันต่ำมันไม่รับเหตุผล มันคิดเอาข้างเดียว คิดของเราข้างเดียว คิดแต่ของเราว่ามันถูกๆๆ นี่มาหาดี เห็นไหม มาหาดีๆ ของใคร เรารู้อะไรเป็นความดี

โลกเขาความดี ดูสิ อู้หู วัดที่ไหนสูงส่ง วัดที่ไหนสิ่งก่อสร้างสวยงาม วัดที่ไหนมหัศจรรย์ อู้หู วัดนี้สุดยอด วัดที่ไหนมันมีแต่ต้นไม้มีแต่ภูเขาเลากาวัดนี้ต่ำต้อย นั่นน่ะมุมมองของเขา มุมมองของโลกเป็นแบบนั้น แล้วเอาโลกเป็นใหญ่ เอาโลกเป็นใหญ่หรือเอาธรรมเป็นใหญ่ ถ้าเอาธรรมเป็นใหญ่มีข้อวัตรไง เห็นไหม ดูสิ มันจะต่ำต้อยขนาดไหน ถ้ามันมีข้อวัตร เห็นไหม เรียบ! วัดนั้นทำมีข้อวัตรปฏิบัติ วัดนั้นเข้าไปแล้วทึ่ง

ดูสิ เวลาธุดงค์ไป เห็นไหม ในประวัติหลวงปู่มั่น ธุดงค์ไปถึงสระน้ำอันหนึ่งมันเงียบผิดปกติ พระจะไปใช้น้ำ ท่านบอกอย่าใช้นะ มันผิดปกติ เห็นไหม สุดท้ายแล้วท่านใช้ประสบการณ์ของท่าน ท่านประสบของท่าน นี่สื่อสารกับผู้ที่คุ้มครองดูแล สื่อสารกับพวกที่เขาคุ้มครองดูแลสระน้ำนั้นว่า เขาพ่นพิษไว้อะไรไว้นี่ บอกว่า พระมาพระจะใช้ เธออย่าทำอย่างนั้น ให้ดึงกลับให้เรียกมนต์ของเขากลับไป จนหลวงปู่มั่นท่านพิจาณาของท่านจบแล้ว ท่านจึงบอกพระว่า ใช้ได้ เห็นไหม แม้แต่สระน้ำในป่านะ ครูบาอาจารย์ที่ท่านมีสติปัญญาท่านยังรู้เลยว่าอะไรควรไม่ควร อันนี้ใช้ได้หรืออันนี้ใช้ไม่ได้ มันผิดปกติ

นี่เหมือนกัน เขาไปวัดไปวากัน คนที่มีสติมีปัญญาเขามองทีเดียวเขาก็รู้ แล้วเราล่ะนี่คนโง่มากกว่าคนฉลาดมาก ถ้าคนโง่มาก คนโง่มากก็นู้นไง ดูสิ ตอนนี้วัฒนธรรมเที่ยววัดเที่ยววังเที่ยวเวียงในกรุงเทพฯ นี่เรื่องการท่องเที่ยว มันมาเที่ยวอะไร มันก็มาดูวัดนั่นล่ะ วัดสร้างเอาไว้ให้ฝรั่งมันมาเที่ยว แล้วพระก็ขังตัวเองไว้ในกุฏินะ ห้ามออกมาคนเต็มหมดเลย คนนี่เต็มวัดเลย แล้วพระอยู่วัดไหนก็ต้องใส่กุญแจไว้ อยู่แต่ในห้อง อยู่ในกุฏิออกมาไม่ได้ วัดอย่างนั้นใช่ไหม

แต่วัดของเรา เห็นไหม ข้อวัตรปฏิบัติ วัดของเรานี่อยู่ที่มือนี่ นี่เราทำข้อวัตรเราปฏิบัติของเรา ข้อวัตรปฏิบัติไม่ใช่วัดร้าง แล้วสิ่งที่ปลูกสร้างมันจะต่ำต้อย โลกเขาจะไม่ให้มีค่าขนาดไหน แต่ถ้าเรามีข้อวัตรอยู่ ใครเขามารู้มาเห็น เห็นไหม คนโง่มากคนฉลาดมาก ไม่ต้องไปหวังคนโง่ คนโง่เขาไปเป็นเหยื่อ เป็นเหยื่ออยู่อย่างนั้น แต่คนฉลาดนะ เขาเข้ามาเขามองเขารู้เขาเห็น เขาดูเราก็ดูออกแล้ว ถ้าเราดูออก เห็นไหม เราอยู่ของเราอย่างนี้ เราอยู่ของเรา เห็นไหม มันจะต่ำต้อยขนาดไหน

ดูบาตรสิ บาตรนี่ถ้าไม่ถึง ๒ นิ้วเขาไม่ให้เปลี่ยนนะ บาตรนี่ไม่ทะลุถึง ๒ นิ้วไม่ให้เปลี่ยน นี่ครูบาอาจารย์ที่ใช้นะ นี่เราอยู่กับครูบาอาจารย์มา หลวงปู่ฝั้นบาตรของท่านไม่ไห้ใครแตะเลย เพราะเราเห็น เราอยู่กับครูบาอาจารย์มา เราถึงทำของเรานี้ไง บาตรนี่ตั้งแต่บวชมาไม่ให้ใครแตะเลย ตั้งแต่บวชมา ของเรานี่ตั้งแต่บวชมาเกือบ ๔๐ ปีแล้ว บาตรเราใบนี้ ทุกอย่างที่ของเราใช้อยู่ตั้งแต่บวช ตั้งแต่บวชมาจนเดี๋ยวนี้

เพราะเห็นเขาทำกันไง เห็นโลกมันเหลวไหลไง เราจะไม่เหลวไหลอย่างนั้น เขาจะเอาก้านลาน เอาสุดยอด เอาทองคำมาแลกก็ไม่ได้ มันไม่มีประโยชน์หรอก มันเป็นประโยชน์ของเขา แต่หัวใจเราอ่อนแอ เราไม่มีจุดยืน ถ้าเรามีจุดยืนเราเข้มแข็งของเรา มันจะไม่เป็นอะไร นี่มันก็บริขารเท่านั้น เอาไว้ดำรงชีวิต ถ้าดำรงชีวิตของเรา เห็นไหม นี่เรามาหาดีนะ แต่หาดีหาดีด้วยอะไร ถ้าหาดีทางโลกเขาก็หาดีด้วยวัตถุ หาดีด้วยสังคม

แต่ถ้าเราเป็นพระ เราจะหาคุณงามความดีในใจของเรานะ นี่เตือนมาตลอดตั้งแต่ก่อนวันเข้าพรรษา แล้วนี่ก็ออกพรรษาแล้ว ตั้งแต่วันเข้าพรรษามา วันนี้วันออกพรรษา แล้วออกพรรษาแล้วนี่ ตอนนี้เห็นไหม นี่พ้นจากอธิษฐานพรรษา นี่รัตติราตรีเว้นวิรัติล่วงพ้นราตรีไม่มีแล้ว เพราะว่ามันออกพรรษาแล้ว ต่อไปนี้ก็มีแต่ถือผ้าครอง นี่ออกพรรษา เห็นไหม ในพรรษาเราต้องแสวงหาอย่างนั้น ที่ว่าเรามาหาดี ดีอย่างใด ดีโลก ดีธรรม ถ้าเราเป็นพระปฏิบัติเรามีครูบาอาจารย์ เราจะต้องมีคุณธรรม ดีในหัวใจนี้

สิ่งข้างนอกมันแค่อาศัยเท่านั้น ของที่อาศัยนี่มันจะไปเทียบเคียงใครไม่ได้หรอก โลกน่ะ เดี๋ยวนี้นะมันเจริญใช่ไหม เขาใช้สัญญาเช่าทั้งนั้น นี่ไปเช่ารถจะเช่าอย่างไรก็ได้ เครื่องใช้ไม้สอยเช่าได้ทั้งนั้น แล้วเขาเช่ามานี่เขาประดับมา ของเขาหรือของเขาเช่ามาก็ไม่รู้ เราไปเห็นแต่อยู่ที่ตัวคนคิดว่าเขามั่งมีศรีสุข เขาทุกข์จนเข็ญใจ เขาไปเช่ามา มันเอามาโปะๆๆ นี่ เราไปแข่งอะไรกับโลก ไร้สาระ! วัดกันที่คุณงามความดีนี่ วัดกันที่ข้อวัตรปฏิบัตินี่ วัดกันที่คุณธรรมนี่ มาหาดีนี่หาดีที่นี่ ศาสนามันอยู่ที่นี่ ศาสนธรรม สัจธรรม ไม่ใช่วัตถุที่มาแข่งขันกัน ไม่ใช่สิ่งที่แสวงหามาเทียบกัน ไม่ใช่!

คนเราเกิดมานี่ ดูสิ รูปร่างหน้าตาคนยังไม่เหมือนกันเลย รูปพรรณสัณฐานคนมันเหมือนกันที่ไหน มันอยู่ที่เวรที่กรรม แล้วนี่เราจะเอาอะไรไปแข่งกับเขา แต่โลกเขาจะแข่งกันอย่างนั้น มันถึงเป็นเหยื่อไง มันถึงมีแชร์ลูกโซ่ มันมีแต่การหลอกลวงกันนี่ไง เราก็หนีเขามาแล้วล่ะ เรามาทำของเราอย่างนี้ เราไม่เอาสิ่งนั้นเข้ามา

แต่พระอยู่กับโลก ถ้าไม่มีหลักมันก็เอาโลกเข้ามา แล้วก็ไปแข่งกับโลก น่าอาย เราอายมากนะ อายที่พระไปแข่งกับโลก โลกก็เป็นโลกไง ดูสิ เช้าๆ เข้ามาเขาใส่บาตรกัน เขาวิ่งมาขนาดไหน นั่นโลกทั้งนั้น แล้วเขามาหาเราทำไม เขามาหาใคร ทำไมเขาต้องจากกรุงเทพฯ วิ่งมาใส่บาตรที่นี่ เพราะอะไร แล้วเราจะกลับไปอยู่ที่กรุงเทพฯ วัตถุมันมหาศาล เราจะกลับไปเป็นอย่างนั้นหรือ มันจะกลับตาลปัตรกันใช่ไหม? พระจะเป็นโยม โยมจะเป็นพระใช่ไหม?

เราไม่เป็นอย่างนั้น เราถึงหาดีเราต้องมีดีของเรา เราต้องมีคุณธรรมของเรา เรามีสัจจะของเรา เห็นไหม ตั้งใจ ออกพรรษาแล้วนี่ถ้าจะวิเวกจะยังไงก็ดูแลหัวใจของตัว เราทำเพื่อประโยชน์ของเรา หาคุณงามความดี หาอัตตัตถสมบัติ หาความจริง หาคุณธรรมเพื่อหัวใจของเรา เอวัง